อาหาร บำบัดหวัด
เดี๋ยว
ร้อนเดี๋ยวหนาวอากาศแบบนี้ทำเอาหลายท่านป่วยเป็นหวัดไปตามๆกันซึ่งเทคนิคใน
การดูแลร่างกายไม่ใช่เรื่องยากแต่คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่า
โรคหวัด
โรค หวัดและอาการของโรคหวัดสามารถเกิดจากไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดใดชนิดหนึ่ง จึงเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถผลิตยารักษาโรคหวัดได้โดยตรง รวมไปถึงสภาพของอาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็อาจทำให้มีอาการไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหลเกิดขึ้นได้แม้จะไม่ได้เป็นโรคหวัดก็ตาม โดยทั่วไปอาการของโรคหวัดจะหายไปได้เองใน 3-7 วันขึ้นกับสุขภาพ และภูมิคุ้มกันของแต่ละคนอาหารที่ดีจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้มาก ซึ่งส่งผลให้ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักในการให้โภชนบำบัดสำหรับโรคหวัดจึงเป็นการเลือกอาหารที่เสริมสร้างภูมิ คุ้มกัน และลดการอักเสบที่เกิดขึ้น
อาหารที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ ดีเป็นอาหารที่หาได้ทั่วไป แต่ต้องมีปริมาณที่เหมาะสมกับการบริโภคเพื่อให้ได้สารอาหารที่เพียงพอ และไม่มากจนก่อให้เกิดโรคเสียเอง
สารอาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ
วิตามินซี สามารถทำหน้าที่หลักเป็นสารต้านอนุมูลอิสระให้กับส่วนที่เป็น น้ำ ในร่างกาย (เพราะละลายในน้ำ) ร่วมกับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในส่วนที่เป็น ไขมัน ใน ร่างกาย (เพราะละลายในน้ำมัน) และยังช่วยในการสร้าง (และกระตุ้นให้สร้าง) คอลลาเจนให้กับผิวหนัง หลอดเลือด เหงือก และอวัยวะอื่นๆ ดังนั้นการขาดวิตามินซี จึงเป็นสาเหตุหนึ่งในการเสื่อมสลายของคอลลาเจน เมื่อคอลลาเจนในหลอดเลือดของเหงือกซึ่งเปราะบางมาก สลายตัวจึงมีอาการออกมาให้เห็นเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน (Scurvy) ในบางรายอาจมีอาการหลอดเลือดในโพรงจมูกแตกง่าย ทำให้มีเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ ได้เช่นกัน
แม้จะมีความเชื่อกันมานานว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัดได้ แต่ผลงานวิจัยในภายหลังยืนยันชัดเจนว่า วิตามินซี ไม่ได้ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัดได้ แต่ผลงานวิจัยไม่ได้เป็นข้อสรุปว่าเราไม่ควรจะต้องกินวิตามินซีเพียงแต่ได้ รับในปริมาณเล็กน้อย ก็เพียงพอแล้ว โดยระดับที่ควรรับประทานคือ มากกว่า 90 มก แต่ไม่เกิน 1000 มก ต่อวัน และไม่ควรทานเกินครั้งละ 500 มก เพราะข้อจำกัดในการดูดซึมของวิตามินซีที่จะสามารถดูดซึมได้ดีเมื่อมีระดับ วิตามินซีในอาหารต่ำๆ และดูดซึมได้น้อยลงเมื่อมีปริมาณสูงขึ้นจึงไม่ควรรับประทานในปริมาณสูงๆ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ อาหารตามธรรมชาติที่มีวิตามินซีอยู่เยอะคือ ผัก และผลไม้ ฝรั่ง มะเขือเทศ ส้ม พริกที่สามารถรับประทานเนื้อได้เยอะๆ เช่น พริกหยวก พริกหนุ่ม พริกหวาน เป็นต้น การรับประทานฝรั่ง 1 ผล พร้อมมะเขือเทศ 3-4 ลูกต่อวันก็จะได้รับวิตามินซีมากกว่า 90 มก ซึ่งเพียงพอแล้ว
วิตามินอี ก็เป็นอีกสารอาหารหนึ่งที่สำคัญนอกเหนือจากการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอียังทำหน้าที่เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ระดับที่ต้องการคือไม่เกิน 200 ไอยู อาหารตามธรรมชาติที่มีวิตามินอีอยู่เยอะคือ ตับ น้ำมันตับปลา ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัท อัลมอนด์ เป็นต้น
ไขมัน เป็นอีกสารอาหารหนึ่งที่อดกล่าวถึงไม่ได้เมื่อพูดถึงการลดการอักเสบ กรดไขมันชนิดโอเมกา 3 และ โอเมกา 6 โดยกรดไขมันชนิดแรกเป็นตัวลดการอักเสบ ส่วนชนิดหลังเป็นตัวกระตุ้นการอักเสบ ดังนั้นจึงควรจำกัดปริมาณกรดไขมันโอเมกา 6 เหลือเพียง 1-2 ช้อนชาต่อวัน แล้วเพิ่มปริมาณกรดไขมันโอเมกา 3 ให้เยอะขึ้นมากเป็น 3-5 กรัม อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา 6 ได้แก่น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 เยอะ ได้แก่ น้ำมันปลา (น้ำมันตับปลาก็มีกรดไขมันโอเมกา 3 สูงแต่ต้องจำกัดปริมาณเพราะมีวิตามินเอสูงจนอาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทาน ปริมาณมาก) น้ำมันคาโนลา และวอลนัท จึงควรรับประทานเนื้อปลาที่มีไขมัน เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยไม่ผ่านการทอดหรือผัด (เพราะจะได้น้ำมันที่มีโอเมกา 6 เพิ่มขึ้น) และลดไขมันที่ได้จากสัตว์อื่นๆ อย่างไขมันไก่ วัว หมู เป็ด ลงก็จะทำให้เราได้กรดไขมันโอเมกา 3 ที่มากพอแต่ปริมาณไขมันไม่สูงเกินไป
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
(ติดต่อขอใช้บทความที่ฝ่ายการตลาด)
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น